วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

#คลั่งรักจื่ออี้ 1


#คลั่งรักจื่ออี้

ก้มลงมองภาพด้านล่างผ่านหน้าต่างด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ตีหนึ่งกว่าแล้วแต่น้องชายของเขาเพิ่งจะกลับเข้ามาที่บ้าน ที่สำคัญตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังพลอดรักกับกุ้ยข้างถนน เขาเตือนน้องชายหลายครั้งแล้วเรื่องคนรักของอีกฝ่าย หวังจื่ออี้ไม่มีอะไรดีเลยในชีวิต หมอนั่นทำงานเป็นแค่เด็กขับรถส่งอาหารกระจอกๆ แตกต่างจากความเป็นอยู่ของครอบครัวเขาที่เทียบชั้นมหาเศรษฐี ไม่รู้ว่าน้องชายของเขาหูหนวกตาบอดไปคบกับคนพรรค์นั้นได้อย่างไร หรือเวรกรรมอะไรที่ทำให้สองคนนั่นโคจรมาพบและรักกันได้
ถ้าน้องชายของเขายังไม่เลิกรากับหวังจื่ออี้ละก็.... เห็นทีว่าเขาคงจะต้องรายงานป๊าให้รับทราบเรื่องนี้ ท่านต้องไม่พอใจมากแน่ๆหากรู้ว่าฟ่านเฉิงเฉิงลดตัวลงไปคลุกคลีกับเด็กสลัม หวังจื่ออี้อาจจะตายไม่ก็พิการน่ะนะ บิดาเขาต้องไม่ปล่อยมันไว้แน่ แต่ก็สมน้ำหน้าดีบังอาจไม่เจียมกะลาหัวเอง           
ช่ายสวีคุนเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นว่าน้องชายของเขาถูกหวังจื่ออี้ดึงไปกอดจูบ รู้สึกขยะแขยงจนอยากจะอ้วกออกมา คนตัวเล็กปล่อยม่านหน้าต่างให้ปิดลงหลีกหนีจากภาพเหล่านั้น ก่อนจะพาตัวเองเดินออกมาจากห้องนอนและลงไปชั้นล่าง ประมาณสิบนาทีน้องชายของเขาที่มีอายุห่างกันสองปีก็ไขประตูเข้ามา            
“พี่!”สวีคุนกอดอกพลางแสยะยิ้มอย่างไม่เป็นมิตรนัก ส่วนฟ่านเฉิงเฉิงเองก็หน้าตึงขึ้นทันที พี่ชายของเขาคงจะแอบดูเขากับคนรักกอดจูบกันสินะ ไร้มารยาท! ความจริงแล้วเขาไม่ค่อยชอบพี่ชายคนนี้สักเท่าไหร่ ที่สำคัญพวกเขาสองคนไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกัน
ตอนเขาอายุสิบขวบมารดาของเขาตัดสินใจแต่งงานกับบิดาของอีกฝ่าย หลังจากที่มารดาของช่ายสวีคุนเสียชีวิตไปได้ไม่นานนัก ช่วงแรกๆที่เขาย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ เขากับพี่ชายคนนี้แทบจะไม่พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ กระทั่งอีกฝ่ายถูกส่งไปเรียนเมืองนอกนั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะกลับมาทำไมเหม็นขี้หน้าสุดๆ            
“เตือนหลายครั้งแล้วนะ เรื่องหวังจื่ออี้”            
“ยุ่งอะไรด้วยล่ะ ไม่ใช่เรื่องของพี่สักหน่อย ผมกับพี่จื่ออี้เรารักกัน พี่อย่ามายุ่งเรื่องของผมจะดีกว่านะ”            
“รักเหรอ...เหอะ แกตาบอดรึไงถึงไปรักหมอนั่นได้ มันมีอะไรดีงั้นเหรอ แกถึงหลงมันขนาดนี้”เขาไม่พอใจมากขึ้นเมื่อน้องชายต่างสายเลือดเถียงกลับมาเช่นนี้ เขาหวังดีหรอกนะถึงได้เตือนสติ ยังไงซะป๊าก็ไม่มีทางเห็นด้วยกับความรักครั้งนี้ของฟ่านเฉิงเฉิงหรอก            
“เขามีดีกว่าที่พี่คิดเยอะ พี่จื่ออี้เขาเป็นคนดีมาก เขาทำงานหนักส่งตัวเองเรียน และยังหาเงินไปช่วยครอบครัว แล้วตัวพี่ล่ะนอกจากช็อปปิ้งของแบรนด์เนมกับผลาญเงินป๊าไปวันๆ พี่เคยทำอะไรเพื่อครอบครัวเราบ้าง ถ้ายังทำตัวให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ พี่ก็อย่าไปดูถูกเขาอีก!”            
“ฟ่านเฉิงเฉิง!!!”มือเรียวคว้าหมับเข้าที่แขนของน้องชาย สวีคุนออกแรงบีบผิวเนื้อของอีกฝ่ายจนขึ้นเป็นจ้ำเลือดด้วยอารมณ์โกรธที่พุ่งสูง            
“กล้าดียังไงเอาผัวกุ้ยของแกมาเปรียบเทียบกับฉัน! ฉันจะฟ้องป๊าให้ป๊าจัดการผัวแก! โอ้ยยยย!!!!”สวีคุนถูกเฉิงเฉิงผลักจนล้มก้นกระแทกพื้น ทั้งสองต่างฟาดฟันกันทางสายตา           
“เพราะพี่เป็นอย่างนี้ไงถึงได้ไม่มีแฟน! ใครบ้างล่ะจะทนนิสัยร้ายกาจของพี่ได้ แถมยังชอบดูถูกคนอื่นเป็นที่หนึ่ง!”
“แก!!!...เรื่องของแกกับหวังจื่ออี้ฉันฟ้องป๊าแน่ เตรียมตัวถูกกักบริเวณได้เลย เผลอๆนะป๊าจะส่งคนไปซ้อมผัวแกด้วย”ช่ายสวีคุนพยุงตัวเองลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะชี้หน้าด่าคาดโทษน้องชาย ดวงตาสวยที่เต็มไปด้วยประกายคุกรุ่น จดจ้องไปที่ใบหน้าของฟ่านเฉิงเฉิงอย่างไม่วางตา กล้าดียังไงฟ่านเฉิงเฉิง... แกกล้ามากที่เอาฉันไปเปรียบเทียบกับกุ้ยชั้นต่ำอย่างมัน
.
.
.
.
.
“ป๊า!!! ผมไม่ไป ยังไงซะผมก็ไม่มีทางไปอยู่กับน้าโจวที่อเมริกา!”ประมุขของบ้านเอ่ยขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังทานอาหารเช้าด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ช่ายสวีคุนแอบแสยะยิ้มมุมปาก
เมื่อวานเขาได้คุยเรื่องของฟ่านเฉิงเฉิงกับหวังจื่ออี้ให้บิดาของเขาฟัง และผลคือท่านไม่พอใจเอามากๆอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ทีแรกคิดว่าท่านจะกักบริเวณฟ่านเฉิงเฉิงสักอาทิตย์สองอาทิตย์ แต่นี่ท่านกลับคิดจะส่งน้องชายต่างสายเลือดของเขาไปอยู่กับน้าโจวรุ่ยที่อเมริกา ผลลัพธ์ดีเกิดคาดแฮะ สะใจชะมัด!          
“ถ้าแกไม่ไปแกก็ต้องเลิกกับไอ้สวะคนนั้น แกทำได้ไหมฟ่านเฉิงเฉิง”            
“คุณคะ...ใจเย็นๆนะคะ ฉันขอร้องล่ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยพูดกับลูกเอง ลูกยังเด็กแกคงหลงผิดไปอย่าถือสาแกเลยนะคะ”หญิงวัยกลางคนทว่าใบหน้ากลับยังเต่งตึงและสวยสะพรั่ง พยายามพูดเกลี้ยกล่อมผู้เป็นสามี อีกทั้งยังส่งสายตาปรามลูกชายของเธอไม่ให้ขึ้นเสียงกับผู้ใหญ่           
“จะให้ใจเย็นได้ยังไงดูลูกชายของเธอสิ...เถียงฉันฉอดๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยนะ ถ้าสวีคุนไม่บอกฉัน ฉันก็คงเป็นตาแกหน้าโง่ไปอีกนาน ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยว่าลูกชายคนเล็กหันไปทำตัวต่ำแบบนี้”            
“ทำไมทุกคนถึงต้องดูถูกพี่จื่ออี้ ป๊าพี่จื่ออี้เขาเป็นคนดีนะครับ ถ้าป๊าได้รู้จักนิสัยใจคอของพี่เขา รับรองว่าป๊าต้องชอบ...”            
“เมื่อคืนคุนเห็นหวังจื่ออี้ดึงฟ่านเฉิงเฉิงไปกอดจูบด้วยครับ ถ้าชาวบ้านแถวนี้เห็นเข้า อายเขาตายเลยนะป๊า”ร่างบางตวัดสายตาไปยังช่ายสวีคุน ซึ่งนั่งทานข้าวอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความเกรี้ยวโกรธ อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มเยาะเย้ยกลับมา ชวนให้เขารู้สึกหมั่นไส้เข้าไปอีก
“มันทำกับแกแบบที่พี่ชายแกพูดรึเปล่าฟ่านเฉิงเฉิง!”ท่านตบโต๊ะและพูดขึ้นเสียงดัง            
“ตอบป๊าไปสิลูกว่าไม่จริง ช่ายสวีคุนเขาโกหกหรืออาจจะตาฝาดไปเองคนเดียว พูดไปสิเฉิงเฉิง”มารดาของเขาพยายามอ้อนวอนเขาทางสายตา และในบางครั้งเธอก็มองไปที่ช่ายสวีคุนอย่างจงใจตำหนิ
มารดาของเขาไม่ค่อยชอบช่ายสวีคุนเท่าไหร่นัก ส่วนพี่ชายต่างสายเลือดเองก็พอๆกัน ปัญหาแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงทั่วๆไปนั่นแหละ ยิ่งตอนนี้สวีคุนเรียนจบจากเมืองนอกแล้ว และอีกฝ่ายกำลังจะเข้ามาสานต่อธุรกิจของครอบครัว มันยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับมารดาของเขา เพราะยังไงซะธุรกิจของบ้านหลังนี้ก็คงต้องตกเป็นของช่ายสวีคุนแต่เพียงผู้เดียว เพราะเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆของป๊า            
“ผมเต็มใจให้พี่จื่ออี้ทำแบบนั้น เพราะผมรักเขา!”ทันทีที่เขาตอบท่านไปเช่นนั้น ท่านตบโต๊ะเสียงดังอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าครั้งก่อน โต๊ะไม้ราคาแพงสั่นสะเทือนจนแก้วน้ำใกล้มือของท่าน กลิ้งหล่นจากโต๊ะและแตกกระจายไปทั่วพื้น            
เพล้ง!!!!!!           
“ฟ่านเฉิงเฉิง!!!!”คนตัวบางลุกจากเก้าอี้ จากนั้นเขาก็สาวเท้าเดินขึ้นบันไดเพื่อไปชั้นบนทันที ไม่ได้หันกลับมาสนใจผู้เป็นบิดาแม้แต่น้อย แม้ว่าท่านจะตะโกนเรียกเขาด้วยความโกรธเสียงดังมากแค่ไหน เขาไม่อยากอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกต่อไปแล้ว เขาอยากโทรหาคนรัก ให้อีกฝ่ายพาเขาหนีออกไปจากที่นี่ซะเดี๋ยวนี้เลย รู้สึกเบื่อบ้านหลังนี้เต็มที เขาไม่ใช่ลูกชายสุดที่รักของป๊า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปหมดนั่นแหละ
มันผิดมากเลยรึไงกับอีแค่ครอบครัวของหวังจื่ออี้ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนครอบครัวเขา ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายไม่พยายามสร้างเนื้อสร้างตัวสักหน่อย เขารับรู้มาตลอดว่าคนรักทำงานหนักมากแค่ไหน หวังจื่ออี้ทำงานหนักมากตั้งแต่เช้าจรดค่ำ บางครั้งเราสองคนแทบไม่ได้คุยโทรศัพท์กันด้วยซ้ำเพราะอีกฝ่ายต้องทำงาน ซึ่งเขาเข้าใจดีและยังรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายมากๆ หากวันไหนจื่ออี้มีเรียน เขากับคนรักก็จะมีโอกาสได้ไปกินข้าวและดูหนังกันบ้าง เนื่องจากมหาวิทยาลัยอยู่ใกล้ๆกัน
ร่างบางตัดสินใจขังตัวเองอยู่ในห้องตลอดทั้งวัน แม้ว่ามารดาจะเคาะประตูเรียกบ่อยแค่ไหน ทว่าฟ่านเฉิงเฉิงก็ไม่ยอมเปิดประตูให้เธอได้เข้ามาพูดคุยในห้องนอนด้วย
.
.
.
.
.
“จัดการมันตามที่แกเห็นสมควรนั่นแหละ อย่าให้มันมายุ่งกับเฉิงเฉิงได้อีก”            
คำสั่งของบิดาทำให้เขาเผลอระบายยิ้มอย่างมีความสุขออกมา... ได้เลยครับป๊า ผมจะไม่ทำให้ป๊าผิดหวังเหมือนอย่างที่ฟ่านเฉิงเฉิงมันทำ...หึ 
เมื่อตอนหนึ่งทุ่มเขาถูกเรียกเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวที่ห้องทำงานของบิดา ซึ่งก็เป็นเรื่องระหว่างน้องชายของเขาและคนรักของมันนั่นแหละ เขาจะยอมลดตัวลงไปยุ่งกับหวังจื่ออี้ก็ได้ หากว่ามันจะทำให้ฟ่านเฉิงเฉิงเจ็บปวดใจยิ่งขึ้น รับรองว่าเขาจะทำตามคำสั่งของบิดาอย่างสุดความสามารถเลยล่ะ 
จัดการกับหวังจื่ออี้ให้มันเลิกยุ่งกับน้องชายสุดที่รักของเขา ความรักของพวกมัน...จะต้องจบลงด้วยน้ำมือของเขา
.
.
.
.
.
ฉันเบื่อที่จะต้องทำเหมือนว่าฉันรักแกเต็มที...ความจริงแล้วเราต่างก็รู้ดีว่าเราเกลียดกันมากแค่ไหน ถ้าไม่มีแกกับแม่แพศยาของแก...ป๊าต้องรักและแคร์ฉันแค่คนเดียว ช่ายสวีคุนสบถขึ้นภายในใจ เขาถูกส่งให้ไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่อายุสิบสอง เพราะคำยุยงของแม่เลี้ยงที่พูดกรอกหูบิดาของเขาเป็นประจำ ตัวเขาต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำ นับครั้งได้ที่บิดาจะมาเยี่ยม

เขาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอกอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง ทั้งๆที่เขาเป็นลูกแท้ๆของป๊า แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นจากผู้เป็นบิดาเลย ซึ่งก็นับตั้งแต่วันที่ฟ่านเฉิงเฉิงและแม่ของมันก้าวเท้าเข้ามาอาศัยที่บ้านของเขานั่นแหละ           
.
.
.
.
.
ณ ตรอกซอยร้างผู้คน หวังจื่ออี้กำลังโดนซ้อมอย่างโหดร้ายทารุณ หนึ่งต่อสิบใครจะสู้ไหวล่ะ ยังฝืนยืนต่อสู้อยู่ได้เกือบสิบนาทีก็ถือว่าเก่งพอตัว สวีคุนนั่งตะไบเล็บอย่างสบายอารมณ์อยู่ภายในรถตู้ เขาเหลือบตาออกไปมองด้านนอกกระจกรถบ้างเป็นครั้งคราว คนตัวเล็กระบายยิ้มอย่างพอใจกับผลงานของลูกน้อง
เมื่อเห็นว่าคนรักของน้องชายล้มลงไปนอนแน่นิ่งหายใจล่อแล่อยู่บนพื้น ใบหน้าหล่อเหลาของมันเต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดก็โชกไปหมดทั้งตัว สวีคุนคิดว่ามันสมควรแก่เวลาแล้วล่ะที่เขาจะลงไปดูผลงานด้านนอก คนขับรถเดินลงมาเปิดประตูให้ผู้เป็นเจ้านายตามคำสั่ง  ช่ายสวีคุนสาวเท้าตรงมายังจุดที่หวังจื่ออี้กำลังนอนกระอักเลือดอยู่ โดยมีลูกน้องของเขายืนล้อมตัวมันไว้ ชายนับสิบในชุดสูทสีดำหลีกทางให้ผู้เป็นเจ้านาย
คนตัวเล็กไล่สายตามองใบหน้าของบรรดาลูกน้อง สภาพใบหน้าบางคนชุ่มโชกไปด้วยเลือดและมีบาดแผลปะปราย หึ...ฝีมือคนรักของฟ่านเฉิงเฉิงก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนิ            
“กูไปทำอะไรให้พวกมึง”ช่ายสวีคุนละสายตาจากเหล่าลูกน้อง ก่อนจะหันไปมองคนเจ็บหนักซึ่งกำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นโสโครก มันยังมีแรงพูดได้นิ... แค่นี้ยังเจ็บไม่พอสินะ 
เขาคิดว่าควรจะสั่งให้ลูกน้องของบิดาซ้อมมันอีกครั้ง และครั้งนี้คงต้องเอาให้มันสลบคาเท้าไปเลย แต่ก็คิดว่าควรจะเล่นอะไรสนุกๆกับมันก่อนน่ะนะ รองเท้าหนังราคาแพงค่อยๆเหยียบลงบนหน้าอกของหวังจื่ออี้อย่างช้าๆ             
“แค่กๆ”ชายหนุ่มเจ็บจุกจนไอโขลกออกมา ร่างสูงพยายามมองหน้าของคนจิตใจอำมหิตผ่านเลือดที่ไหลลงมาเข้าตา เขาไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร แล้วทำไมคนพวกนี้ถึงได้จับตัวเขามาซ้อมปางตายแบบนี้ ไม่รู้ว่าพวกมันจะฆ่าเขารึเปล่า หรือว่าพวกมันจับคนมาผิดตัว แต่จากอะไรหลายๆอย่างเขาคิดว่าไม่น่าใช่ เขาพยายามถามพวกมันตอนที่โดนรุมเตะต่อย แต่ก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไร และคนที่กำลังใช้เท้าเหยียบย่ำหน้าอกของเขาก็คงจะเป็นเจ้านายของพวกมัน หน้าตาก็ดีหรอกนะแต่จิตใจโหดร้ายผิดมนุษย์
แต่ทำไมคนๆนี้ถึงได้....หน้าตาคล้ายกับพี่ชายของฟ่านเฉิงเฉิงคนรักของเขา ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างได้ มีครั้งนึงตอนที่เขาขับมอเตอร์ไซต์ไปส่งฟ่านเฉิงเฉิงที่บ้าน เขาได้เจอกับพี่ชายต่างสายเลือดของคนรักโดยบังเอิญ แต่ดูเหมือนพี่ชายของฟ่านเฉิงเฉิงจงใจแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารังเกียจเขา จนเขาไม่กล้าที่จะเอ่ยทักทายกับอีกฝ่าย            
“ที่ลูกน้องฉันทำ นายยังเจ็บไม่พอสินะ!”ขยี้ส้นรองเท้าลงที่บาดแผลซึ่งมีเลือดไหล บริเวณกลางหน้าอกของร่างสูง ยิ่งเห็นมันนิ่วหน้าด้วยความทรมาน เขาก็ยิ่งจงใจเพิ่มแรงไปที่เท้าอีก สวีคุนแสยะยิ้มชอบใจ            
“....ทำแบบนี้ทำไมวะ!”ร่างเล็กย่อตัวลงเล็กน้อย เพื่อให้ได้เห็นผลงานตัวเองชัดๆ ดวงตากลมโตกวาดสายตาใบทั่วใบหน้าเปื้อนเลือดและร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรร จากการคาดเดาทางสายตาน่าจะมีมากกว่าสิบจุดน่ะนะ เขาระบายยิ้มพึงพอใจกับผลงานเบื้องหน้า
เห็นมันเจ็บก็เหมือนได้เห็นฟ่านเฉิงเฉิงเจ็บนั่นแหละ ยังไงซะไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องรู้ว่าผัวมันโดนกระทืบปางตาย ทีนี้แหละเขาจะยิ่งสะใจยิ่งกว่านี้หลายร้อยเท่า            
“เลิกยุ่งกับเฉิงเฉิงซะ! ถ้าฉันรู้ว่าแกยังไม่เลิกยุ่งกับน้องชายสุดที่รักของฉันอีกละก็....แม่ของแกไม่ปลอดภัยแน่”หวังจื่ออี้ขมวดคิ้ว เขากัดฟันกรอดพยายามสกัดกั้นความแค้นไว้ในใจ ถ้าพวกมันทำอะไรแม่ของเขา เขาก็จะจัดการพวกมันเหมือนกัน ต่อให้ตัวเองต้องตายเขาก็จะทำ
ส่วนฟ่านเฉิงเฉิงไม่มีทางที่เขาจะเลิกยุ่งกับอีกฝ่ายได้ เราสองคนรักกันอย่างบริสุทธิ์ใจ เฉิงเฉิงดีกับเขามาก และไม่เคยอายที่จะบอกกับคนอื่นๆว่าเขาคือคนรักของอีกฝ่าย แม้ว่าฐานะของเราจะแตกต่างกันมากก็เถอะ เขาจะไม่มีวันยอมให้ใครมาพรากฟ่านเฉิงเฉิงไปจากเขา ยกเว้นเสียแต่ความตาย...           
“ไม่มีทาง.. แค่กๆ... กูไม่มีทางเลิกยุ่งกับเขา”พยายามเปล่งเสียงแหบพร่าตอบกลับไปด้วยความเจ็บปวด            
“หึ...แกกล้ามาก ไอ้เศษสวะ ฉันจะรอดูว่าแกจะทนไปได้อีกนานแค่ไหน!”คนตัวเล็กลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะใช้รองเท้าหนังกดแรงๆลงที่ซีกแก้มของหวังจื่ออี้          
“ซ้อมมันอีก!! ซ้อมมันให้มันตายคาตีนของพวกแกไปเลยนะ!!!”เขารู้สึกสมเพชสายตาจองหองของมันที่มองมายังเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเกลียด...เกลียดที่มีคนรักฟ่านเฉิงเฉิงมากขนาดนี้... แตกต่างจากตัวเขาที่ไม่เคยมีใครมารักเลย เขารู้สึกว่าตัวเองแพ้ฟ่านเฉิงเฉิงอีกแล้ว ทำไมใครๆต่างก็รักมันไปกันหมด            
“ครับคุณหนู!!!!”ชายนับสิบคนขานรับผู้เป็นเจ้านาย           
.
.
.
.
.
ช่ายสวีคุนยืนกอดอกใบหน้าสวยบึ้งตึง ขณะมองบรรดาลูกน้องของบิดารุมกระทืบหวังจื่ออี้อีกครั้ง สายตาอาฆาตของมัน...จดจ้องมายังเขาตลอดเวลาขณะที่ตัวมันถูกซ้อม จนมันทนพิษบาดแผลไม่ไหวและค่อยๆสลบไป
เขาสั่งให้พวกลูกน้องเอาร่างมันไปทิ้งที่ป่ารกร้างข้างทาง ก่อนจะนั่งรถกลับบ้านมานอนพักผ่อน แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเขาก็สลัดภาพสายตาอาฆาตแค้นของมันไม่ได้เลย ช่ายสวีคุนรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก



........................
อย่าไปคาดเดาตอนจบ
#คลั่งรักจื่ออี้








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น